
English : Monster, Inc.
Thai : บริษัทรับจ้างหลอน (ไม่) จำกัด
Year : 2001
DVD9 : 1 Disc
Present by : Walt Disney And Pixar Animation
Product by : Pacific Marketing And Entertainment Group.

บริษัท รับจ้างหลอน (ไม่)จำกัด
Official website
more info. from IMDB
แนว : แอนิเมชั่น / ตลก / ครอบครัว
ความยาว : 92 นาที
กำหนดฉาย : 5 ธันวาคม 2544
เมื่อถึงเวลาขึ้นนอน เด็กๆ ทั่วโลกต่างรู้ดีว่า เมื่อพ่อแม่ของพวกเขา พาพวกเขาขึ้นเตียงนอน และปิดไฟมืดเมื่อไหร่ สัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้า จะกระโดดออกมาทันที แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้เลยก็คือ ที่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ต้องหลอกให้เด็กๆ กลัว ไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่นส่วนตัว มันคือ "งาน" ของพวกสัตว์ประหลาดทั้งหลาย
มอนสโทรโพลิส คือบ้านของเหล่าประชากรสัตว์ประหลาด ที่มีทุกรูปร่างและทุกขนาด แหล่งพลังงานหลักของพวกมัน ได้มาจากเสียงกรีดร้องของมนุษย์ และโรงงานที่ผลิตเสียงกรีดร้องขนาดใหญ่ที่สุด ก็คือ Monster, Inc. (หรือ M.I. - เอ็มไอ) ทีมสัตว์ประหลาดแถวหน้าของโรงงาน จะเดินทางสู่โลกมนุษย์ โดยผ่านประตูตู้เสื้อผ้าในยามค่ำคืน ก็เพื่อหลอกเด็กๆ ให้ตกใจกลัว และเก็บเสียงกรีดร้องของพวกเขาเอาไว้ ที่ทำให้งานนี้ยากมากขึ้น ก็คือความจริงที่ว่า สัตว์ประหลาดเหล่านี้เชื่อว่า พวกเด็กๆ คือของมีพิษ และถ้าไปแตะโดนตัวเด็กเข้า จะนำมาซึ่งหายนะ
พนักงานที่เก่งที่สุดที่ Monster, Inc. ก็คือ เจมส์ พี ซัลลิแวน (ให้เสียงพากย์โดย จอห์น กู๊ดแมน) หรือ ซัลลีย์ สัตว์ประหลาดตัวสีเขียวอมฟ้า ที่มีส่วนสูงแปดฟุต และมีจุดสีม่วง รวมถึงเขาบนหัว ผู้ช่วยสร้างเสียงกรีดร้องของซัลลีย์ ก็คือ สัตว์ประหลาดตาเดียวตัวสีเขียวที่ชื่อว่า ไมค์ วาโซว์สกี้ (ให้เสียงพากย์โดย บิลลี่ คริสตัล) ที่เผอิญเป็นเพื่อนร่วมห้อง และเป็นเพื่อนซี้ของซัลลีย์ด้วย สำหรับคู่ซี้สองตัวนี้ ชีวิตมีความสุข ซัลลีย์อยู่ในยุครุ่งโรจน์ ปราศจากคู่แข่งใดๆ เว้นแต่เจ้ากิ้งก่าแปดขาที่ชื่อว่า แรนดัลล์ บ็อกก์ส (ให้เสียงพากย์โดย สตีฟ บุสเซมี่) ผู้สร้างเสียงกรีดร้องได้เป็นอันดับสอง รองจากซัลลีย์ ขณะเดียวกันนั้น ความพยายามที่ไมค์พากเพียรจีบสาวที่ชื่อว่า ซีเลีย (ให้เสียงพากย์โดย เจนนิเฟอร์ ทิลลี่) ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับของบริษัท เริ่มส่งผล เฮนรี่ เจ วอเตอร์นูส (ให้เสียงพากย์โดย เจมส์ โคเบิร์น) ประธานกรรมการบริหารของ Monster, Inc. ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ อันเนื่องมาจากความจริงที่ว่า พวกเด็กๆ เริ่มไม่กลัวอะไรง่ายๆ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
คืนหนึ่ง ซัลลีย์พบตัวเองยืนอยู่ที่ชั้นแห่งความกลัว และยังพบอีกว่า ประตูที่เปิดไปสู่ตู้เสื้อผ้า ไม่ได้ถูกส่งกลับไปยังคลังเก็บตามเดิม เมื่อเปิดประตูเพื่อสืบหาสาเหตุ ซัลลีย์ก็ต้องยอมรับว่า มีเด็กมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่ง หลุดรอดมายังโลกของเขาแล้ว ด้วยความเชื่อฝังหัวว่าเด็กๆ มีพิษ ซัลลีย์พยายามที่จะเอาชนะความกลัวของตัวเอง และจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่กลับพบว่า สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้น เขากับไมค์ต้องพาเด็กหญิงคนนั้น ซึ่งซัลลีย์ตั้งชื่อว่า บู (ให้เสียงพากย์โดย แมรี่ กิ๊บบ์ส) กลับไปยังบ้าน จนกว่าพวกเขาจะคิดหาทางออกได้ วันต่อมา พวกเขาจัดการแปลงโฉมของบู ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง และพาเธอไปยังโรงงาน โดยหวังจะส่งเธอกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ไมค์กับซัลลีย์ต้องเสี่ยงต่อความปลอดภัยของตัวเอง ขณะที่ต้องแข่งกับเวลา เพื่อส่งบูกลับไปยังโลกมนุษย์ ก่อนที่เหล่าสัตว์ประหลาดตัวใดจะรู้ความจริงเข้า ทั้งซัลลีย์และไมค์ ได้เข้าไปสะดุดแผนการขยายโรงงานผลิตโดยไม่รู้ตัว และพวกเขาต้องพบว่า พวกเขายืนอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามแผนเข้าพอดี..
วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส และ พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอ ฟิล์ม ทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว เปิดประตูนำไปสู่โลกอันสนุกสนานน่ารักน่าชัง ของเหล่าสัตว์ประหลาด และความอกสั่นขวัญหาย ที่สร้างเสียงหัวเราะให้เกิดขึ้น ในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของพวกเขา Monsters, Inc. ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์การร่วมมือครั้งที่ 4 ของสองสตูดิโอ กับการผจญภัยครั้งใหม่ ที่สร้างสรรค์จากคอมพิวเตอร์ หลังจากที่เคยสร้างความฮือฮา จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นอย่าง Toy Story, A Bug's Life และ Toy Story 2 มาแล้ว
Monsters, Inc. ได้เสียงพากย์จากนักแสดงที่มีความสามารถอย่าง จอห์น กู๊ดแมน, บิลลี่ คริสตัล, เจมส์ โคเบิร์น, เจนนิเฟอร์ ทิลลี่, สตีฟ บุสเซมี่, แมรี่ กิ๊บบ์ส, จอห์น แร็ตเซนเบอร์เกอร์ และ บอนนี่ ฮันต์
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Monsters, Inc. กำกับโดย พีท ด็อคเตอร์ แอนิเมเตอร์ / นักแต่งเรื่องมือฉมังของพิกซาร์ ผู้เป็นหนึ่งในทีมงานที่สร้างเรื่องราวให้กับ Toy Story จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว และยังทำหน้าที่เป็นซูเปอร์ไวซิ่งแอนิเมเตอร์ ให้กับภาพยนตร์ปี 1995 เรื่องดังกล่าวด้วย ผู้ที่เข้ามาช่วยให้ข้อมูลในเชิงสร้างสรรค์ ตลอดงานสร้าง ก็คือ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร จอห์น แลสเซตเตอร์ ผู้กำกับของภาพยนตร์ Toy Story ทั้งสองภาค และ A Bug's Life ซึ่งเป็นผู้คว้ารางวัลออสการ์ Special Achievement จาก Toy Story และยังเป็นผู้คว้ารางวัลออสการ์ในปี 1989 จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นสั้นเรื่อง Tin Toy ด้วย, แรนดี้ นิวแมน นักแต่งเพลง/ผู้ประพันธ์ดนตรีชื่อดัง กลับมาเข้าร่วมทีมงานสร้างสรรค์กับพิกซาร์อีกครั้ง โดยได้นำความสามารถทางดนตรีอันหลากหลาย และน่าประทับใจของเขา มาทำดนตรีประกอบ และเพลงประกอบเครดิตท้ายเรื่อง โดยเขาใช้อิทธิพลของดนตรีแจ๊สยุค 40 เข้ามาเพื่อนำเสนอถึงความสนุกสนาน และจิตวิญญาณของภาพยนตร์เรื่องนี้ ดนตรีที่ได้ยิน จะใช้เครื่องดนตรีอย่างเบสฮาร์โมนิก้า, แมนโดลิน และแอ็คคอร์เดียน นอกจากนี้ นิวแมนยังแต่งเพลงประกอบเครดิตท้ายเรื่อง ที่ชื่อว่าเพลง If I Didn't Have You ซึ่งเป็นการร้องคู่ที่แสนสนุกสนาน ระหว่างซัลลีย์ (กู๊ดแมน) และไมค์ (คริสตัล)
ที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ร่วมกับจอห์น แลสเซตเตอร์ ก็คือ แอนดรูว์ สแตนตัน ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Toy Story มาแล้ว และยังทำหน้าที่เขียนบทให้กับ A Bug's Life (ซึ่งเขาทำหน้าที่ผู้กำกับร่วม) และ Toy Story 2 ด้วย สแตนตันยังทำหน้าที่เขียนบท ให้กับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Monsters, Inc. ร่วมกับ แดน เจอร์สัน เรื่องราวต้นแบบนั้นเป็นฝีมือของ พีท ด็อคเตอร์, จิลล์ คัลตัน, เจฟฟ์ พิดเจียน และ ราล์ฟ อิงเกิลสตัน ในขณะที่ บ็อบ ปีเตอร์สัน ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมสร้างเรื่องให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ และยังทำหน้าที่เป็นผู้ให้เสียงพากย์แก่ผู้จัดการของพวกสัตว์ประหลาดที่ชื่อ ว่า รอซ
เบื้องหลังการสร้างสรรค์
Monsters, Inc. ได้นำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น ที่ทันสมัยที่สุดของพิกซาร์มาใช้ โดยตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้พลังงานคอมพิวเตอร์ไปถึง 2.5 ล้านเรนเดอร์มาร์ก (เป็นหน่วยวัดพลังงานคอมพิวเตอร์) ซึ่งแต่เดิม ภาพยนตร์แอนิเมชั่นอย่าง Toy Story 2 ใช้ไปแค่เกือบๆ 1.1 ล้านเรนเดอร์มาร์ก หนึ่งในความสำเร็จทางด้านเทคนิค ที่น่าประทับใจของภาพยนตร์เรื่อง Monsters, Inc. ก็คือ การสร้างเส้นขนและเส้นผม ซึ่งมีแสงเงา ความหนาแน่น การให้แสง และการเคลื่อนไหวที่ประกอบกันเป็นภาพที่สมจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานนำมาใช้ได้เกิดประโยชน์ที่สุด ในการสร้างขนของซัลลีย์ที่มีเกือบๆ 3 ล้านเส้น และในการสร้างผมและหางเปียของบูด้วย โปรแกรมที่เรียกกันว่า "ดีพ ชาโดว์อิ้ง" (Deep Shadowing) ถูกคิดสร้างขึ้นที่พิกซาร์ เพื่อให้เส้นขนเกือบทุกเส้นมีความเงาในตัวมันเอง และช่วยเพิ่มภาพให้มีความสมจริงมากขึ้นด้วย ไมเคิล ฟ่ง และ สตีฟ เมย์ คือผู้นำช่างเทคนิคที่รับผิดชอบในการค้นคว้า และสร้างสรรค์โปรแกรมการสร้างเส้นขนและเส้นผม นักวิทยาศาสตร์อาวุโส เดวิด บารัฟฟ์ และ แอนดี้ วิตกิ้น ได้สร้างระบบไดนามิคส์ ซิสเต็ม (ซึ่งประกอบไปด้วยรหัสคอมพิวเตอร์เป็นพันๆ เส้น) เพื่อสร้างการพลิ้วไหวของเส้นผมแต่ละเส้น แอนิเมเตอร์จะต้องทำงานควบคู่ไปกับโมเดลตัวละคร ที่อาจจะมีขนไม่มากนัก ซึ่งเส้นขนจะถูกสร้างเพิ่มเติมเข้าไปภายหลัง ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวที่เหมือนจริง โดยฝีมือของเทคนิคัล ไดเร็กเตอร์
โปรแกรมซีมูเลเตอร์อีกโปรแกรมหนึ่ง ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างการสะบัดไหวของเสื้อยืดที่บูใส่ เมื่อทางแอนิเมเตอร์ สร้างการเคลื่อนไหวเรือนร่างของบูจนเสร็จแล้ว โปรแกรมดังกล่าว จะคำนวณการเคลื่อนไหว และสร้างการสะบัดไหวของเสื้อผ้า ให้เข้ากับการเคลื่อนไหวของตัวละครโดยอัตโนมัติ ซึ่งนับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของสื่อชนิดนี้ นอกจากนี้ โปรแกรมดังกล่าว ยังถือเป็นการปลดปล่อยให้แอนิเมเตอร์ หลุดพ้นจากความกังวล ในงานสร้างเสื้อผ้าของตัวละคร และหันไปทุ่มเทให้กับการแสดงของตัวละครได้ การสร้างโปรแกรมนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของพิกซาร์ ที่ได้ทดลองผลิตโปรแกรมสร้างเสื้อผ้าในแอนิเมชั่นสั้นเรื่อง Geri's Game มาแล้ว (แอนิเมชั่นสั้นเรื่องนี้ ได้รับรางวัลออสการ์แอนิเมชั่นสั้นยอดเยี่ยมในปี 1998 และได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ พร้อมกับแอนิเมชั่นเรื่อง A Bug's Life)
ที่เข้ามาช่วยสร้างเทคโนโลยี ด้านคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่นให้กับพิกซาร์ ก็คือ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค กับภาพยนตร์เรื่อง Monsters, Inc. นี้ ทอม พอร์เตอร์ ผู้เคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้ง ทำหน้าที่เป็นซูเปอร์ไวซิ่ง เทคนิคัลไดเร็กเตอร์ โดยมีหน้าที่ดูแลการทำโมเดล การสร้างเงา การจัดแสง และการแสดง ภายใต้การดูแลของพอร์เตอร์ก็คือ องค์กรใหม่ที่ชื่อ ชอตส์ ดีพาร์ตเม้นต์ โดยทีมงานแผนกนี้ จะมอบหมายหน้าที่สร้างภาพ 1,500 ชอต ให้กับผู้ดูแลฉากแต่ละฉาก และเทคนิคัลไดเร็กเตอร์ ซึ่งจะคอยติดตามดูแลแต่ละชอต ตลอดทุกขั้นตอนในงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ กาลิน ซัสแมน ทำหน้าที่ดูแลแผนกชอตนี้อีกที
เอเบน ออสต์บี้ คือซูเปอร์ไวเซอร์ที่ทำหน้าที่ดูแลแผนกโมเดล โดยในแผนกนี้ จะมีการปั้นดินออกมาเป็นใบหน้าต่างๆ ก่อนจะนำไปสู่การสร้างภาพตัวละครหลักๆ ในคอมพิวเตอร์ ในขณะที่สัตว์ประหลาดหน้าตาประหลาดอีกเกือบๆ 50 ตัว จะถูกสร้างขึ้นในคอมพิวเตอร์ จากการประกอบส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าด้วยกัน หลังจากได้เรียนรู้จากประสบการณ์งานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ทั้งสองภาค และ A Bug's Life นักทำโมเดลได้ใช้โปรแกรมที่เรียกกันว่า "เจพเพ็ตโต้" (Geppetto) เพื่อให้แอนิเมเตอร์ สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวปลีกย่อยได้มากขึ้น ในเรื่องของความซับซ้อน ออสต์บี้คาดการณ์ว่า ตัวละครอย่างซัลลี่, ไมค์ และบู น่าจะมีความซับซ้อนกว่าบัซกับวู้ดี้ และน่าจะมีการควบคุมได้สูงกว่าตัวละครที่เป็นคนอย่าง อัล (จาก Al's Toy Barn) จาก Toy Story 2 ถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์
ที่เข้ามาช่วยสร้างภาพที่มีสไตล์ให้กับ Monsters, Inc. ก็คือ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ฮาร์ลีย์ เจสซัพ และ บ็อบ พอลลีย์ ในขั้นตอนการออกแบบระยะแรกให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็รวมถึงการเดินทางไปยังเมืองอุตสาหกรรมและโรงงานใกล้ๆ หลายแห่ง เพื่อทำการค้นคว้าด้วย ด้วยคำแนะนำจากด็อคเตอร์ พวกเขาเริ่มต้นสร้างภาพ และความเป็นเหตุเป็นผลให้กับเมืองมอนสโทรโพลิส นั่นหมายถึงการสร้างงานภายในโรงงาน Monster, Inc. ตั้งแต่ชั้นแห่งความน่ากลัว ไปจนถึงท่อที่นำไปสู่ประตู (ซึ่งก็รวมถึงประตูตู้เสื้อผ้ากว่า 5.7 ล้านประตู ที่เหล่าสัตว์ประหลาดจะเดินทาง ผ่านสายพานทางเดินนับร้อยๆ เส้น) ตัวโรงงานเองจะให้ความรู้สึกแบบยุค 60 โดยทีมงานจงใจสร้างมันให้ออกมาดูเชยๆ ทีมงานต้องออกแบบฉากขึ้นมากว่า 22 ฉาก ตั้งแต่ห้องนอนของบู ไปจนถึงร้านซูชิ ร้านแฮร์รี่ฮาวเซ่น และบ้านของเยติที่อยู่ห่างไกล
ผู้กำกับศิลป์ เทีย แคร็ตเตอร์ และ โดมินิค หลุยส์ ใช้ความสามารถของพวกเขาในการสร้างโทนสี การจัดแสง และการสร้างเงาให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ แคร็ตเตอร์ ซึ่งเป็นมือวาดภาพแบ็คกราวน์ ที่ผ่านการฝึกฝนมานาน ทำงานควบคู่ไปกับทีมนักวาดภาพด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อกำหนดโทนสี และรายละเอียดของภาพ การค้นคว้าของเธอนั้น รวมไปถึงการศึกษาลักษณะขนของตัวลามา ตัวจามรี แพะ และแกะ รวมไปถึงการเดินทางไปที่โรงเก็บขยะ เพื่อวิเคราะห์โลหะแบบต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในฉากโรงงาน เธอยังช่วยกำหนดสีของตัวละคร (ตัวอย่างเช่น เธอเป็นคนตัดสินใจ ที่จะเปลี่ยนสีตัวของไมค์จากสีส้ม ให้เป็นสีเขียวมะนาว) ทางด้านหลุยส์จะเป็นคนกำหนดสภาพแวดล้อมและแสง ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ด้วยการสร้างภาพวาดที่ใช้สีพาสเทล เพื่อสร้างอารมณ์ให้กับภาพยนตร์ จากภาพวาดเหล่านี้ หลุยส์สามารถจะสื่อสารอารมณ์ของเขา ออกมาผ่านทางการใช้สี จากนั้น ภาพสีเหล่านั้น จะถูกส่งต่อไปให้แผนกจัดแสง ซึ่งจะใช้ภาพเหล่านี้ เป็นแม่แบบในการสร้างชอตสุดท้าย
ทีมผู้กำกับศิลป์ยังต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ ฌอน-คล็อด คาลาชี่ ผู้ดูแลการจัดแสง และ ริค เซย์รี่ ผู้ดูแลการจัดเงา เพื่อให้ได้ภาพและสภาพแวดล้อมที่ทีมงานสรางสรรค์จะนำไปใช้ เซย์รี่และทีมจัดเงาของภาพได้สร้างเชดเงาเป็นพันๆ เชดเพื่อให้โลกของเหล่าสัตว์ประหลาดมีสไตล์และมีความละเอียด
สมาชิกคนสำคัญอีกคนหนึ่งของทีมสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ ผู้ดูแลการวางเลย์เอ้าต์ อีวาน จอห์นสัน ผู้สืบสานความพยายาม พัฒนาความก้าวหน้าให้กับพิกซาร์ เพื่อให้สามารถครอบคลุมตามข้อเรียกร้อง ที่ทางผู้กำกับต้องการให้มีในแต่ละฉาก โซฟี วินเซเลตต์ ทำหน้าที่ดูแลแผนกการตกแต่งฉาก ซึ่งเป็นแผนกที่มีการจัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อให้ดูแลรับผิดชอบในการสร้างสิ่ง ของจากคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงอุปกรณ์ประกอบฉาก คอรี่ เร ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างประสานงานให้กับ Monsters, Inc. จิม สจ๊วร์ต ทำหน้าที่เป็นผู้ลำดับภาพ
ทีมงานเก่าแก่ของพิกซาร์อย่าง เกลนน์ แม็คควีน และ ริช เคว็ด มารับหน้าที่เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ เมื่อไม่นานมานี้ แม็คควีนก็คือผู้ทำหน้าที่เป็นซูเปอร์ไวซิ่ง แอนิเมเตอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Toy Story 2 ในขณะที่เคว็ดทำหน้าที่เป็นซูเปอร์ไวซิ่ง แอนิเมเตอร์ให้กับทั้ง A Bug's Life และ Toy Story ภาคแรก ทีมงานที่ประกอบไปด้วยแอนิเมเตอร์กว่า 35 ชีวิต ที่ทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็รวมถึงบรรดาผู้รับผิดชอบวาดตัวแอนิเมชั่นตัวหลักๆ อย่าง แอนดรูว์ กอร์ดอน (ผู้ดูแลงานวาดแอนิเมชั่น ไมค์ วาโซว์สกี้), จอห์น คาห์รส์ (ซัลลีย์) และ เดฟ เดอแวน (บู)
ตัวแอนิเมชั่นหลายตัว มีความซับซ้อนในการวาดแตกต่างกันไป ตั้งแต่เจ้ากิ้งก่าแปดขาที่ชื่อว่า แรนดัลล์ ไปจนถึง ไมค์ วาโซว์สกี้ ที่มีตาเดียว แต่เป็นตัวแอนิเมชั่นที่ทางแอนิเมเตอร์พบว่า วาดยากกว่าที่คิดเอาไว้
Monsters, Inc. มีความโดดเด่นในแง่ของการเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่ถูกสร้างขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ของ พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอ ในเอเมอรี่วิลล์, แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นบ้านใหม่ของแอนิเมเตอร์ และช่างเทคนิคชั้นแนวหน้าของวงการกว่า 550 ชีวิต นับแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2000 เป็นต้นมา และการเปิดตัวฉายของภาพยนตร์เรื่อง Monsters, Inc. จะตรงกับปีที่พิกซาร์เปิดดำเนินการมาครบ 15 ปีพอดี สตีฟ จ็อบส์ ซื้อบริษัทแห่งนี้มาจากลูคัสฟิล์ม ในปี 1986 และดำเนินการมาในฐานะบริษัทอิสระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น